ว่านหางจระเข้ พืชสาระพัดประโยชน์ เชื่อว่าหลายๆ บ้านจะต้องมีปลูกทิ้งไว้ตามสวนข้างๆ บ้าน (เพราะบ้านเราปลูกติดไว้ตลอดไม่เคยพลาด จากรูปนี่ก็สวนบ้านเราเอง) บางคนคงจำกันได้ว่าตอนสมัยเด็กๆ ถ้าเล่นเทียน เล่นไม้ขีดไฟ หากเกิดพลาดโดนไฟลวก มือจะมีแผลพุพอง ผู้ใหญ่ก็จะรีบไปตัดว่านหางจระเข้ามาปอกเปลือกออก นำไปล้างเอาเมือกสีเหลืองๆ และมีกลิ่นเหม็นๆ ออกให้เหลือแต่แท่งวุ้นใสๆ มาทาแผลก็จะรู้สึกว่าช่วยลดความปวดแสบปวดร้อนได้

ลักษณะของว่านจระเข้
ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงเวียนรอบต้น ใบหนาและยาว โคนใบใหญ่ ส่วนปลายใบแหลม ขอบใบจะเป็นหนามแหลมออกห่างกัน แผ่นใบหนาเป็นสีเขียว มีจุดยาวสีเขียวอ่อน อวบน้ำ ข้างในเป็นวุ้นใสสีเขียวอ่อน   ออกดอกเป็นช่อกระจายที่ปลายยอด ก้านช่อดอกยาว ดอกสีแดงอมเหลือง โคมเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ชั้น รูปแตร ผล เป็นผลแห้งรูปกระสวย

สรรพคุณทางยาของว่านหางจระเข้
เนื้อวุ้นในใบของว่านหางจระเข้จะมีสารเคมีอยู่หลายชนิด เช่น Aloe-cmidin, Aloesin, Aloin, สารประเภท glycoprotein และอื่นๆ ส่วนยางที่มีอยู่ในว่านหางจระเข้จะมีสาร anthraquinone ทีมีฤทธิ์ในการช่วยขับถ่ายด้วย ได้มีการนำมาใช้ทำเป็นยาดำ มีผลการวิจัยรายงานว่า วุ้นหรือน้ำเมือกของว่านหางจระเข้สามารถรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และแผลในกระเพาะอาหารได้ดี เพราะส่วนของวุ้นใบมีสรรพคุณรักษาแผลต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและยังช่วยสมานแผลได้ด้วย

ประโยชน์ของว่านหางจระเข้
1. ใช้แก้อาการปวดศีรษะ เพียงนำว่านหางจระเข้มาตัดตามขวางให้เป็นแว่นบางๆ นำปูนแดงที่ใช้กินกับหมากทาที่วุ้น แล้วปิดที่ขมับจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นทำให้หายปวด

2. รักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก นำว่านหางจระเข้ามาปอกเปลือก ใช้น้ำเมือกจากว่านหางจระเข้มาทาแผลไฟลวก โดยทาน้ำเมือกที่แผลให้เปียกอยู่เสมอ จะช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนและแผลก็จะหายเร็วขึ้น

3. รักษาผิวไหม้เพราะถูกแสงแดดเผา โดยใช้วุ้นหางจระข้ทาลงบนผิวหนังบริเวณที่โดนแดดเผา จะช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อน ผิวจะตึงขึ้น และช่วยลดจำนวนผิวที่ลอกได้

4. รักษาแผลสด โดยล้างทำความสะอาดแผลก่อน แล้วจึงนำวุ้นมาปิดลงที่แผลให้สนิท เอาผ้าสะอาดปิดไว้ แล้วหยดน้ำเมือกของว่านหางจระเข้ลงไปให้ผ้าตรงบริเวณที่แผล ให้เปียกอยู่เสมอ จะช่วยให้แผลหายเร็ว และลดการเกิดรอยแผลเป็นได้

5. รักษาแผลในกระเพาะและลำไส้อักเสบ โดยรับประทานส่วนที่เป็นวุ้นใสของว่านหางจระเข้ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละหลายๆ ครั้ง วิธีนี้ใช้ได้ผลเหมือนกันในรายที่ทางเดินอาหารเกิดการอักเสบ

6. ใช้บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ นำวุ้นว่านหางจระเข้ มาชโลมเส้นผมให้ทั่ว ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำ จะช่วยทำให้มีเส้นผมที่ดกดำเป็นเงางาม หวีง่ายขึ้น และสามารถรักษาแผลบนหนังศีรษะได้อีกด้วย ( แต่ก่อนที่จะใช้ควรนำมาทดสอบกับไรผมก่อนว่าแพ้ว่านหางจระเข้หรือไม่ และที่สำคัญควรล้างยางสีเหลืองออกให้หมดเพระายางจะกัดหนังศีรษะได้)

7. สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ นำวุ้นหางจระเข้ ทาแผลเพื่อรักษาแผลติดเชื้อได้ ช่วยทำให้แผลดีขึ้น ภายใน 12 ชั่วโมง

8. รักษาผดผื่นคันที่เกิดจากการแพ้สารต่างๆ วุ้นหางจระข้จะมีฤทธิ์ช่วยระงับการเจ็บปวด จึงช่วยลดอาการคันได้ด้วย และยังช่วยทำให้ผื่นคันหายเร็วยิ่งขึ้น

9. รักษาโรคขี้เรื้อนกวาง และผื่นปวดแสบปวดร้อน โดยกินวุ้นหางจระเข้ ครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง และทาวุ้นว่างหางจระเข้ควบคู่กันไปด้วย เพราะว่านหางจระเข้ เป็นยาฝาดสมาน อาจช่วยทำให้ผิวแห้งได้ จึงควรนำมาผสมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันทาผิวอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย

10. ช่วยลดรอยแผลเป็น เพียงนำวุ้นว่านหางจระเข้มาทา เช้า-เย็น จะลดรอยแผลเป็นได้

11. ช่วยลบผิวท้องลายหลังคลอดได้ นำวุ้นว่านหางจระเข้ทาผิวบริเวณท้อง ขณะตั้งครรภ์ แม้หลังการคลอดแล้วก็ควรใช้ทาต่อเพื่อช่วยให้ผิวหน้าท้องกลับคืนสู่สภาพปกติได้ดี

12. ช่วยรักษาการเกิดเส้นเลือดดำขอดที่ขาได้ ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ ทาที่บริเวณเส้นเลือดดำขอด  จะช่วยลดการเกิดเส้นเลือดดำขอดได้ผลดีมาก

13. ช่วยลดอาการมะเร็งที่ผิวหนังได้ นำวุ้นว่านหางจระเข้ ทาบริเวณที่เกิดอาการ เพียงวันละ 3-4  ครั้ง และควรใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายๆ เดือน

14. รักษาแผลถลอกและแผลครูด ใช้วุ้นว่านหางจระเข้ทาบริเวณแผลเบาๆ ให้ทั่ว ภายใน 24 ชั่วโมงแรก หากมีการทาบ่อยๆ จะทำให้ไม่รู้สึกเจ็บและหายเร็วขึ้น

15. รักษาโรคปวดตามข้อได้ เพียงรับประทานวุ้นว่านหางจระเข้ เป็นประจำทุกวันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะช่วยทำให้หายปวดได้

นอกจากว่านหางจระเข้จะมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ มากมายหลายอย่างแล้ว ว่านหางจระเข้ยังสามารถนำมาประกอบอาหารที่แสนอร่อยได้อีกหลายเมนู เช่น วุ้นว่านหางจระเข้น้ำกะทิ น้ำว่านหางจระเข้ปั่น หรือจะทำอาหารคาวก็อย่างแกงส้มวุ้นว่านหางจระเข้ แค่เห็นชื่อแต่ละเมนูแล้วก็ชวนน้ำลายหกแล้วค่ะ ยังไงอย่าลืมตามไปดูเมนูวุ้นว่านหางจระเข้น้ำกะทินะคะ ฝีมือเราทำเองอร่อยหวานชื่นใจแถมยังได้ประโยชน์อีกด้วยค่ะ

ข้าวยีสต์แดง
ว่านหางจระเข้ (Aloe vera)