วันนี้ภูมิในนำเสนอพริกชี้ฟ้าที่ปลูกด้วย 2 มือของเราเอง คนอื่นๆ บอกว่ามันคือพริกขี้หนูสวน แต่เราว่าเป็นพริกชี้ฟ้านะก็เห็นๆ อยู่ว่ามันผลมันชี้ขึ้นไปบนฟ้า น่ารักนะเหมือนเจ้าของคนปลูกเลยว่ามั๊ย เม็ดเล็กแต่เผ็ดแสบถึงทรวงเลยทีเดียว 555 พริกชี้ฟ้าถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรพื้นบ้านที่เผ็ดร้อน และอยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ รุ่นปู่ย่าตาทวดของเราเลยทีเดียว ยังไงควรจะปลูกพริกชี้ฟ้าติดสวนครัวไว้ซักต้น2 ต้นนะคะ จะได้ประหยัดตังค์ในกระเป๋าเรา กละจะได้เจริญรอยตามพระราชดำหริของในหลวง เศรษฐกิจพอเพียงยังไงคะ เรามาทำความรู้จักกับพริกชี้ฟ้ากันดีกว่าค่ะ
ลักษณะของพริกชี้ฟ้า พริกชี้ฟ้าเป็นไม้ล้มลุกที่มีความสูงประมาณ 0.5-1.5 เมตร มีลักษณะใบเดี่ยวออกตรงกันข้ามหรือออกสลับกัน เป็นรูปใบหอกมีความกว้าง 1-4 เซนติเมตร ยาว 2-8 เซนติเมตร ออกดอกเป็นสีขาว ตามซอกใบและปลายกิ่งเป็นลักษณะดอกเดี่ยว โคนกลีบดอกเชื่อมกัน ปลายดอกแยกออกเป็น 5 แฉก ดอกห้อยลง เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้ 5 อัน ผลเป็นรูปทรงกระบอกยาว ปลายเรียวแหลม มักโค้งงอ ผิวเป็นมันสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีแดง ภายในผลจะมีเมล็ดแบนสีนวลอยู่เป็นจำนวนมาก (และมีรสเผ็ดจิ๊ดเลยทีเดียว)
ประโยชน์ของพริกชี้ฟ้า สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นต้ม ยำ แกง ผัด หรือว่าทำน้ำจิ้ม เพื่อเพิ่มรสชาติให้เผ็ดร้อนอร่อยปากโดยเฉพาะคนไทย
สรรพคุณของพริกชี้ฟ้า ขึ้นชื่อว่าพริกหากรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ จะทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดี เลือดจะไม่จับเป็นก้อน แล้วในพริกยังประกอบไปด้วยสารแอนติออกซิแดนท์ เป็นสารที่พบได้ในกลุ่มของอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ หรือในสารอาหารจำพวกวิตามินซี วิตามินอี เบต้า-แคโรทีน และแร่ธาตุซีลีเนียม เป็นต้น ซึ่งจะเป็นตัวที่ช่วยยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่และฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ อนุมูลอิสระจะมีผลต่อความเสื่อมสภาพของร่างกาย และทำให้เกิดโรคหลายชนิด เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคต้อกระจก โรคมะเร็งบางชนิด และในพริกยังมีสารที่มีชื่อว่าแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งสารตัวนี้มีอยู่ในส่วนของใส้พริก มีคุณสมบัติทนทานต่อการปรุง ได้ดีไม่ว่าจะผ่านความร้อนหรือแปรรูปอาหารไปแล้ว แต่สารชนิดนี้ก็จะยังคงอยู่ ถึงพริกจะมีประโยชน์มากมาย อย่างไรก็ตามหากทานพริกมากๆ หรือว่าทานรสเผ็ดจัดเกินไปก็จะมีผลเสียได้เหมือนกัน เพราะจะทำให้ระบบการย่อยและการดูดซึมทำงานเสื่อมประสิทธิภาพ
